รูปแบบการเรียนการสอน
ความหมายของรูปแบบการเรียนการสอน
ในทางศึกษาศาสตร์ มีคำที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบ คือ รูปแบบการสอน Model
of Teaching หรือ Teaching Model และรูปแบบการเรียนการสอนหรือรูปแบบ
การจัดการเรียนการสอน Instructional
Model หรือ
Teaching-Learning Model คำว่า รูปแบบการสอน
มีผู้อธิบายไว้ดังนี้
(๑)
รูปแบบการสอน หมายถึง แบบหรือแผนของการสอน รูปแบบการสอนแบบหนึ่งจะมี
จุดเน้นที่เฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง
รูปแบบการสอนแต่ละรูปแบบจึงอาจมีจุดหมายที่แตกต่างกัน
(๒)
รูปแบบการสอน หมายถึง แผนหรือแบบซึ่งสามารถใช้การสอนในห้องเรียน หรือสอนพิเศษเป็นกลุ่มย่อย
หรือ เพื่อจัดสื่อการสอน ซึ่งรวมถึง หนังสือ ภาพยนตร์ เทปบันทึกเสียง
โปรแกรมคอมพิวเตอร์และหลักสูตรรายวิชา รูปแบบ
การสอนแต่ละรูปแบบจะเป็นแนวในการออกแบบการสอนที่ช่วยให้นักเรียนบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่รูปแบบนั้นๆ
กำหนด
(๓)
รูปแบบการสอน หมายถึง แผนแสดงการเรียนการสอน สำหรับนำไปใช้สอนในห้องเรียนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ให้มากที่สุด
แผนดังกล่าวจะแสดงถึงลำดับความสอดคล้องกัน ภายใต้หลักการของแนวคิดพื้นฐานเดียวกัน
องค์ประกอบทั้งหลายได้แก่ หลักการ จุดมุ่งหมาย เนื้อหา และทักษะที่ต้องการสอน
ยุทธศาสตร์การสอน วิธีการสอน กระบวนการสอน ขั้นตอนและกิจกรรมการสอน
และการวัดและประเมินผล
รูปแบบการเรียนการสอนมีความหมายในลักษณะเดียวกับระบบการเรียนการสอน
ซึ่งนักการศึกษาโดยทั่ว ไปนิยมใช้คำว่า “ระบบ” ในความหมายที่เป็นระบบใหญ่
ครอบคลุมองค์ประกอบสำคัญๆ ของการศึกษา หรือการเรียนการสอนในภาพรวม และนิยมใช้คำว่า
“รูปแบบ” กับระบบที่ย่อยกว่า โดยเฉพาะกับ “วิธีการสอน”
ในด้านความหมายของรูปแบบการสอน มีผู้ให้ความหมายไว้หลายแง่มุม ดังนี้Saylor and others (1981 : 271) กล่าวว่า รูปแบบการสอน (teaching model) หมายถึง แบบ (pattern) ของการสอนที่มีการจัดกระท าพฤติกรรมขึ้นจ านวนหนึ่งที่มีความแตกต่างกันเพื่อจุดหมายหรือจุดเน้นที่เฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง
Keeves J., (1997 : 386-387) กล่าวว่า
รูปแบบโดยทั่วไปจะต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้
1.
รูปแบบจะต้องนำไปสู่การทำนาย (prediction) ผลที่ตามมาซึ่งสามารถพิสูจน์ทดสอบได้กล่าวคือ
สามารถนำไปสร้างเครื่องมือเพื่อไปพิสูจน์ทดสอบได้
2.
โครงสร้างของรูปแบบจะต้องประกอบด้วยความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ (causal
relationship) ซึ่งสามารถใช้อธิบายปรากฏการณ์/เรื่องนั้นได้
3.
รูปแบบจะต้องสามารถช่วยสร้างจินตนาการ (imagination) ความคิดรวบยอด (concept) และความสัมพันธ์ (interrelations)
รวมทั้งช่วยขยายขอบเขตของการสืบเสาะความรู้
4.
รูปแบบควรจะประกอบด้วยความสัมพันธ์เชิงโครงสร้าง (structural
relationships)มากกว่า
ความสัมพันธ์เชิงเชื่อมโยง (associative relationships)
ทิศนา แขมมณี (2550 : 3-4) กล่าวว่า รูปแบบการสอน หมายถึง
สภาพหรือลักษณะของการจัดการเรียนการสอนที่จัดขึ้นอย่างมีระบบระเบียบ
มีแบบแผนตามหลักปรัชญา ทฤษฎี หลักการ แนวคิด หรือความเชื่อต่างๆ โดยอาศัยวิธีสอนและเทคนิคการสอนต่างๆ
เข้ามาช่วยให้สภาพการเรียน การสอนนั้นเป็นไปตามหลักการที่ยึดถือ ดังนั้น
คุณลักษณะสำคัญของรูปแบบการสอนจึงต้องประกอบด้วยสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้
1.
มีปรัชญาหรือทฤษฎีหรือหลักการหรือแนวคิดหรือความเชื่อ
ที่เป็นพื้นฐานหรือเป็นหลักการของรูปแบบการสอนนั้นๆ
2.
มีการบรรยายหรืออธิบายสภาพหรือลักษณะของการจัดการเรียนการสอน
3. มีการจัดระบบ คือ มีการจัดองค์ประกอบและความสัมพันธ์ ขององค์ประกอบของระบบให้สามารถนำผู้เรียนไปสู่เป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยมีการพิสูจน์ ทดลองถึงประสิทธิภาพของระบบนั้นดังนั้น รูปแบบการเรียนการสอนจึงหมายถึง
สภาพหรือลักษณะของการจัดการเรียนการสอนที่จัดไว้อย่างเป็นระเบียบตามหลักปรัชญา
ทฤษฎี หลักการ แนวคิดหรือความเชื่อต่างๆ
โดยมีการจัดกระบวนการหรือขั้นตอนในการเรียนการสอน
โดยอาศัยวิธีสอนและเทคนิคการสอนต่างๆ เข้ามาช่วยทำให้สภาพการเรียนการสอนนั้นเป็นไปตามหลักการที่ยึดถือ
ซึ่งได้รับการพิสูจน์ ทดสอบหรือยอมรับว่ามีประสิทธิภาพ
สามารถใช้เป็นแบบแผนในการเรียนการสอนให้บรรลุวัตถุประสงค์เฉพาะของรูปแบบนั้นๆ
ซึ่งแต่ละรูปแบบมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน กล่าวคือ
เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านพุทธิพิสัย (cognitive
domain)การพัฒนาด้านจิตพิสัย
(affective domain) การพัฒนาด้านทักษะพิสัย (psychomotor
domain)การพัฒนาด้านทักษะกระบวนการ
(process skills) หรือ การบูรณาการ(integration)
ทั้งนี้รูปแบบดังกล่าวล้วนเป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่มีลักษณะเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
รูปแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากลซึ่ง
รองศาสตราจารย์ ดร. ทิศนา แขมมณี ได้คัดเลือกมานำเสนอล้วนได้รับการพิสูจน์ทดสอบประสิทธิภาพมาแล้วและมีผู้นิยมนำไปใช้ในการเรียนการสอนโดยทั่วไป
แต่เนื่องจากรูปแบบการเรียนการสอนดังกล่าวมีจำนวนมาก เพื่อความสะดวกในการศึกษาและการนำไปใช้
จึงได้จัดหมวดหมู่ของรูปแบบเหล่านั้นตามลักษณะของวัตถุประสงค์เฉพาะหรือเจตนารมณ์ของรูปแบบ
ซึ่งสามารถจัดกลุ่มได้เป็น 5 หมวดดังนี้
1.
รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านพุทธิพิสัย(cognitive
domain)
2.
รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านจิตพิสัย(affective domain)
3.
รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านทักษะพิสัย(psycho-motor
domain)
4.
รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาทักษะกระบวนการ(process
skill)
5.
รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการบูรณาการ(integration)
เนื่องจากจำนวนรูปแบบและรายละเอียดของแต่ละรูปแบบมากเกินกว่าที่จะนำเสนอไว้ในที่นี้ได้ทั้งหมด จึงได้คัดสรรและนำเสนอเฉพาะรูปแบบที่
รองศาสตราจารย์ ดร.ทิศนา แขมมณี ประเมินว่าเป็นรูปแบบที่จะเป็นประโยชน์ต่อครูส่วนใหญ่และมีโอกาสนำไปใช้ได้มาก
โดยจะนำเสนอเฉพาะสาระที่เป็นแก่นสำคัญของรูปแบบ 4 ประการ คือ
ทฤษฎีหรือหลักการของรูปแบบ วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
กระบวนการของรูปแบบและผลที่จะได้รับจากการใช้รูปแบบ
ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านได้ภาพรวมของรูปแบบ
อันจะช่วยให้สามารถตัดสินใจในเบื้องต้นได้ว่าใช้รูปแบบใดตรงกับความต้องการของตน
หากตัดสินใจแล้ว ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมในรูปแบบใด
สามารถไปศึกษาเพิ่มเติมได้จากหนังสือซึ่งให้รายชื่อไว้ในบรรณานุกรม อนึ่ง
รูปแบบการเรียนการสอนที่นำเสนอนี้ ล้วนเป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ทั้งสิ้น เพียงแต่มีความแตกต่างกันตรงจุดเน้นของด้านที่ต้องการพัฒนาในตัวผู้เรียนและปริมาณของการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนซึ่งมีมากน้อยแตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม ท่านผู้อ่านพึงระลึกอยู่เสมอว่า
แม้รูปแบบแต่ละหมวดหมู่จะมีจุดเน้นที่แตกต่างกัน ก็มิได้หมายความว่า
รูปแบบนั้นไม่ได้ใช้หรือพัฒนาความสามารถทางด้านอื่น ๆ เลย อันที่จริงแล้ว
การสอนแต่ละครั้งมักประกอบไปด้วยองค์ประกอบทั้งทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย
และทักษะพิสัย รวมทั้งทักษะกระบวนการทางสติปัญญา
เพราะองค์ประกอบทั้งหมดมีความเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด
การจัดหมวดหมู่ของรูปแบบเป็นเพียงเครื่องแสดงให้เห็นว่า รูปแบบนั้น มีวัตถุประสงค์หลักมุ่งเน้นไปทางใดเท่านั้น
แต่ส่วนประกอบด้านอื่น ๆ ก็ยังคงมีอยู่ เพียงแต่จะมีน้อยกว่าจุดเน้นเท่านั้น
รูปแบบการเรียนการสอนและกระบวนการเรียนการสอนปกติ
ความสามารถในการเรียนรู้สามารถพัฒนาได้ และถือว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด
กระบวนการการศึกษาต้องส่งเสริมให้ ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ”(กระทรวงศึกษาธิการ,2545)
และตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 กำหนดหลักการ ข้อ 3
ซึ่งกำหนดไว้ว่า“ส่ง
เสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาและเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตโดย
ถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ”
(กระทรวงศึกษาธิการ,
2545)
จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 นี้
เองทำให้เกิดการปฏิรูปการศึกษาขึ้น
และการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญก็เป็นประเด็นสำคัญ ประเด็นหนึ่งในการปฏิรูปการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พุทธศักราช 2542 (วิภาภรณ์, 2543)
การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ คือ
วิธีการสำคัญที่สามารถสร้างและพัฒนาผู้เรียน ให้เกิดคุณลักษณะต่างๆ
ที่ต้องการในยุคโลกาภิวัตน์เนื่องจากเป็นการจัดการเรียนการสอนที่ให้ความ
สำคัญกับผู้เรียน ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักเรียนรู้ด้วยตนเอง
เรียนในเรื่องที่สอดคล้องกับความสามารถและความต้องการของตนเองและได้พัฒนา
ศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ ซึ่งแนวคิดการ
จัดการศึกษานี้เป็นแนวคิดที่มีรากฐานจากปรัชญาการศึกษาและทฤษฎีการเรียนรู้ ต่าง ๆ
ที่ได้พัฒนามาอย่าง ต่อเนื่องยาวนาน
และเป็นแนวทางที่ได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะตาม
ต้องการอย่างได้ผล (วัฒนาพร ระงับทุกข์. 2542)
หลักการพื้นฐานของแนวคิด
"ผู้เรียนเป็นสำคัญ" (ไพฑูรย์, 2549)การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญนี้
ผู้เรียนจะได้รับการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบและมีส่วนร่วมต่อการเรียนรู้ของตนเอง
ซึ่งแนวคิดแบบผู้เรียนเป็นสำคัญจะยึดการศึกษาแบบก้าวหน้าของผู้เรียนเป็นสำคัญ
ผู้เรียนแต่ละคนมีคุณค่าสมควรได้รับการเชื่อถือไว้วางใจแนวทางนี้จึงเป็นแนว
ทางที่จะ ผลักดันผู้เรียนไปสู่การบรรลุศักยภาพของตน
โดยส่งเสริมความคิดของผู้เรียนและอำนวยความสะดวกให้เขาได้พัฒนาศักยภาพของตน
เองอย่างเต็มที่การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเป็นการ
จัดกระบวนการเรียนรู้แบบใหม่ที่มีลักษณะแตกต่างจากการจัดกระบวนการเรียนรู้
แบบดั้งเดิมทั่วไป คือ
1.
ผู้เรียนมีบทบาทรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตน ผู้เรียนเป็นผู้เรียนรู้
บทบาทของครูคือผู้สนับสนุน (supporter) และเป็นแหล่งความรู้(resource person) ของ ผู้เรียน
ผู้เรียนจะรับผิดชอบตั้งแต่เลือกและวางแผนสิ่งที่ตนจะเรียน หรือเข้าไปมีส่วนร่วมใน
การเลือกและจะเริ่มต้นการเรียนรู้ด้วยตนเองด้วยการศึกษาค้นคว้า
รับผิดชอบการเรียนตลอดจนประเมินผลการเรียนรู้ด้วยตนเอง
2.
เนื้อหา วิชามีความสำคัญและมีความหมายต่อการเรียนรู้
ในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ปัจจัยสำคัญที่จะต้องนำมาพิจารณาประกอบด้วย ได้แก่
เนื้อหาวิชา ประสบการณ์เดิม และความต้องการของผู้เรียน
การเรียนรู้ที่สำคัญและมีความหมายจึงขึ้นอยู่กับสิ่งที่สอน (เนื้อหา)
และวิธีที่ใช้สอน(เทคนิคการสอน)
3.
การ เรียนรู้จะประสบผลสำเร็จหากผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรม การเรียนการสอน
ผู้เรียนจะได้รับความสนุกสนานจากการเรียน
หากได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ได้ทำงานร่วมกันกับเพื่อนๆได้ค้นพบข้อ
คำถามและคำตอบใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆ
ประเด็นที่ท้าทายและความสามารถในเรื่องใหม่ๆที่เกิดขึ้น
รวมทั้งการบรรลุผลสำเร็จของงานที่พวกเขาริเริ่มด้วยตนเอง
4.
สัมพันธ ภาพประกอบดีระหว่างผู้เรียน
การมีสัมพันธภาพประกอบดีในกลุ่มจะช่วยส่งเสริมความเจริญงอกงาม
การพัฒนาความเป็นผู้ใหญ่ การปรับปรุงการทำงาน และการจัดการกับชีวิตของแต่ละบุคคล
สัมพันธภาพประกอบเท่าเทียมกันระหว่างสมาชิกในกลุ่ม
จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยส่งเสิรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันของ ผู้เรียน
5.
ครู คือผู้อำนวยความสะดวกและเป็นแหล่งความรู้ในการจัดการ
เรียนการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
ครูจะต้องมีความสามารถที่จะค้นพบความต้องการที่แท้จริงของผู้เรียน
เป็นแหล่งความรู้ที่ทรงคุณค่าของผู้เรียนและสามารถค้นคว้าหาสื่อวัสดุ อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับผู้เรียน
สิ่งที่สำคัญที่สุด คือความเต็มใจของครูที่จะช่วยเหลือโดยไม่มีเงื่อนไข
ครูจะให้ทุกอย่างแก่ผู้เรียนไม่ว่าจะเป็นความเชี่ยวชาญ ความรู้ เจตคติ และการฝึกฝน
โดยผู้เรียนมีอิสระที่จะรับหรือไม่รับการให้นั้นก็ได้
6.
ผู้ เรียนมีโอกาสเห็นตนเองในแง่มุมที่แตกต่างจากเดิม
การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
มุ่งให้ผู้เรียนมองเห็นตนเองในแง่มุมที่แตกต่างออกไป
ผู้เรียนจะมีความมั่นใจในตนเองและควบคุมตนเองได้มากขึ้น
สามารถเป็นในสิ่งที่อยากเป็น มีวุฒิภาวะสูงมากขึ้น
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนให้สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม และมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ต่างๆ
มากขึ้น
7.
การศึกษาคือการพัฒนาประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนหลายๆ
ด้านพร้อมกันไปการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเป็นจุดเริ่มของการพัฒนาผู้เรียนหลายๆ
ด้าน เช่น คุณลักษณะด้านความรู้ความคิด ด้านการปฏิบัติและด้านอารมณ์ความรู้สึกจะได้รับการพัฒนาไปพร้อมๆ
กันเมื่อรู้ว่าการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมีดีและเป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนรู้
ดังนั้น พวกเราครูมืออาชีพก็ควรศึกษาและปฏิบัติให้ถูกต้อง ผลที่ได้คือ
ผลิตผลที่ดีนักเรียนมีความรู้ ดี เก่งและมีสุข ตามเจตนารมย์ของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2544 (สิริพร, 2549) ปัญหาหลักของกระบวนการเรียนการสอนในปัจจุบัน
คือ การที่ครูใช้วิธีการสอนแบบ “ปูพรม” โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างของผู้เรียน
ที่มีความสามารถในการรับรู้ที่แตกต่างกัน (สุมณฑา, 2544 : 27) การเรียนการสอนไม่ได้เอื้อต่อการพัฒนาคุณลักษณะ
“มองกว้าง คิดไกล ใฝ่ดี” แต่เน้นการท่องจำเพื่อสอบมากกว่าที่จะสอนให้
คิดเป็น วิเคราะห์ได้สามารถหาความรู้ได้ด้วยตนเองทำให้ผู้เรียนมีลักษณะผู้เรียนรู้
ไม่เป็น ปัญหาเหล่านี้นับว่าเป็นความล้มเหลวของการจัดการศึกษาที่ต้องแก้ไขโดยเร่ง ด่วน
(จิราภรณ์, 2541)
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ หมายถึง
การจัดกิจกรรมโดยวิธีต่างๆอย่างหลากหลายที่มุ่งให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
อย่างแท้จริงเกิดการพัฒนาตนและสั่งสมคุณลักษณะที่จำเป็นสำหรับการเป็นสมาชิก
ที่ดีของสังคมของประเทศชาติต่อไป การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่มุ่งพัฒนาผู้เรียน
จึงต้องใช้เทคนิควิธีสอนวิธีการเรียนรู้รูปแบบการสอนหรือกระบวนการเรียนการสอนในหลากหลายวิธีซึ่งจำแนกได้ดังนี้(คณะอนุกรรมการปฏิรูปการเรียนรู้, 2543)
1.
การ จัดการเรียนการสอนทางอ้อม ได้แก่ การเรียนรู้แบบสืบค้น แบบค้นพบ แบบแก้ปัญหาแบบ
สร้างแผนผังความคิดแบบใช้กรณีศึกษา แบบตั้งคำถามแบบใช้การตัดสินใจ
2.
เทคนิคการศึกษาเป็นรายบุคคล ได้แก่ วิธีการเรียนแบบศูนย์การเรียน
แบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง แบบชุดกิจกรรมการเรียนรู้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
3.
เทคนิคการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ประกอบการเรียน เช่น
การใช้สิ่งพิมพ์ตำราเรียน และแบบฝึกหัดการใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน ศูนย์การเรียนชุดการสอน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน บทเรียนสำเร็จรูป
4.
เทคนิคการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นปฏิสัมพันธ์ประกอบด้วย การโต้วาทีกลุ่ม Buzz การอภิปราย การระดมพลังสมอง กลุ่มแก้ปัญหา
กลุ่มติว การประชุมต่างๆ การแสดงบทบาทสมมติกลุ่มสืบค้นคู่คิดการฝึกปฏิบัติ เป็นต้น
5.
เทคนิค การจัดการเรียนการสอนแบบเน้นประสบการณ์เช่น
การจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมเกม กรณีตัวอย่างสถานการณ์จำลองละคร
กรณีตัวอย่างสถานการณ์จำลอง ละคร บทบาท สมมติ
6.
เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ ได้แก่
ปริศนาความคิดร่วมมือแข่งขันหรือกลุ่มสืบค้นกลุ่มเรียนรู้ ร่วมกัน ร่วมกันคิด
กลุ่มร่วมมือ
7.
เทคนิคการเรียนการสอนแบบบูรณาการ ได้แก่ การเรียนการสอนแบบใช้เว้นเล่าเรื่อง (Story line) และการเรียนการสอนแบบแก้ปัญหา (Problem-Solving) เทคนิค
วิธีการเหล่านี้ล้วนเป็นวิธีที่ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง
ได้คิดค้นคว้าศึกษาทดลอง ซึ่งทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง
ผู้สอนจึงมีบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวกในหลายๆ ลักษณะ ดังนี้(ชาติแจ่มนุช และคณะ, มทป.)
1)
เป็นผู้จัดการ (Manager)
เป็น
ผู้กำหนดบทบาทให้นักเรียนทุกคนได้มีส่วนเข้าร่วมทำกิจกรรมแบ่งกลุ่ม หรือจับคู่
เป็นผู้มอบหมายงานหน้าที่ความรับผิดชอบแก่ นักเรียนทุกคน
จัดการให้ทุกคนได้ทำงานที่เหมาะสมกับความสามารถและความสนใจของตน
2)
เป็นผู้ร่วมทำกิจกรรม (An active participant) เข้าร่วมทำกิจกรรมในกลุ่มจริงๆ พร้อมทั้งให้ความคิดและความเห็นหรือเชื่อมโยงประสบการณ์ส่วนตัวของนักเรียนขณะทำกิจกรรม
3)
เป็นผู้ช่วยเหลือและแหล่งวิทยาการ (Helper and resource) คอยให้คำตอบเมื่อนักเรียนต้องการความช่วยเหลือทางวิชาการ
ตัวอย่าง เช่น คำศัพท์หรือไวยากรณ์การให้ข้อมูลหรือความรู้ในขณะที่นักเรียนต้องการ
ซึ่งจะช่วยทำให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
4)
เป็นผู้สนับสนุนและเสริมแรง (Supporter and encourager) ช่วยสนับสนุนด้านสื่ออุปกรณ์หรือให้คำแนะนำที่ช่วยกระตุ้นให้นักเรียนสนใจเข้าร่วมกิจกรรมหรือฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง
5)
เป็นผู้ติดตามตรวจสอบ (Monitor) คอย
ตรวจสอบงานที่นักเรียนผลิตขึ้นมาก่นที่จะส่งต่อไปให้นักเรียนผลิตขึ้นมาก่อน
ที่จะส่งต่อไปให้นักเรียนคนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความถูกต้องของคำศัพท์
ไวยากรณ์ การแก้คำผิด อาจจะทำได้ทั้งก่อนทำกิจกรรม หรือบางกิจกรรมอาจจะแก้ในภายหลังได้ ดังนั้น
เมื่อเปรียบเทียบลักษณะการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูสมัยใหม่กับครูสมัยเก่าก็จะเห็นความแตกต่าง
ดังนี้
ครูสมัยใหม่
|
ครูสมัยเก่า
|
1. สอนนักเรียนโดยวิธีบูรณาการเนื้อหาวิชา
|
1. สอนแยกเนื้อหาวิชา
|
2. แสดงบทบาทในฐานะผู้แนะนำ(Guide)ประสบการณ์ทางการศึกษา
|
2. มีบทบาทในฐานะตัวแทนของเนื้อหาวิชา(Knowledge)
|
3. กระตือรือร้นในบทบาท ความรู้สึกของ นักเรียน
|
3. ละเลยเฉยเมยต่อบทบาทของนักเรียน
|
4. ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการวางแผนของหลักสูตร
|
4. นักเรียนไม่มีส่วนร่วมแม้แต่จะพูดเกี่ยว กับหลักสูตร
|
5. ใช้เทคนิคการค้นพบด้วนตนเองของ นักเรียนเป็นกิจกรรมหลัก
|
5. ใช้เทคนิคการเรียน โดยการท่องจำเป็น หลัก
|
6. มีการเสริมแรงหรือให้รางวัลมากกว่าการลงโทษมีการใช้แรงจูงใจภายใน
|
6. มุ่งเน้นการให้รางวัลภายนอก เช่น เกรดแรงจูงใจภายนอก
|
7. ไม่เคร่งครัดกับมาตรฐานทางวิชาการจนเกินไป
|
7. เคร่งครัดกับมาตรฐานทางวิชาการมาก
|
8. มีการทดสอบเล็กน้อย
|
8. มีการทดสอบสม่ำเสมอเป็นระยะ ๆ
|
9. มุ่งเน้นการทำงานเป็นกลุ่มแบบร่วมใจ
|
9. มุ่งเน้นการแข่งขัน
|
10. สอนโดยไม่ยึดติดกับห้องเรียน
|
10. สอนในขอบเขตของห้องเรียน
|
11. มุ่งสร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ให้นักเรียน
|
11. เน้นย้ำประสบการณ์ใหม่เพียงเล็กน้อย
|
12. มุ่งเน้นความรู้ทางวิชาการและทักษะด้าน จิตพิสัยเท่าเทียมกัน
|
12. มุ่งเน้นความรู้ทางวิชาการเป็นสำคัญ ละเลย
|
องค์ประกอบ
1.
การเรียนรู้อย่างมีความสุข อันเนื่องมาจากการจัดการเรียนรู้ที่คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
คำนึงถึงการทำงานของสมองที่ส่งผลต่อการเรียนรู้และพัฒนาการทางอารมณ์ของผู้เรียน
ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องที่ต้องการเรียนรู้ในบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ
บรรยากาศของการเอื้ออาทรและเป็นมิตร ตลอดจนแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย
นำผลการเรียนรู้ไปใช้ในชีวิตจริงได้
2.
การเรียนรู้จากการได้คิดและลงมือปฏิบัติจริง หรือกล่าวอีกลักษณะหนึ่งคือ
“เรียนด้วยสมองและสองมือ” เป็นผลจากการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้คิด
ไม่ว่าจะเกิดจากสถานการณ์หรือคำถามก็ตาม
และได้ลงมือปฏิบัติจริงซึ่งเป็นการฝึกทักษะที่สำคัญคือ การแก้ปัญหา ความมีเหตุผล
3.
การเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย และเรียนรู้ร่วมกับบุคคลอื่น
เป้าหมายสำคัญด้านหนึ่งในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญคือ
ผู้เรียนแสวงหาความรู้ที่หลากหลายทั้งในและนอกโรงเรียน ทั้งที่เป็นเอกสาร วัสดุ
สถานที่ สถานประกอบการ บุคคลซึ่งประกอบด้วย เพื่อน กลุ่มเพื่อน วิทยากร
หรือผู้เป็นภูมิปัญญาของชุมชน
4.
การเรียนรู้แบบองค์รวมหรือบูรณาการ เป็นการเรียนรู้ที่ผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆ
ได้สัดส่วนกัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ความดีงาม
และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในทุกวิชาที่จัดให้เรียนรู้
5.
การ เรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้ของตนเอง
เป็นผลสืบเนื่องมาจากความเข้าใจของผู้จัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็น สำคัญว่า
ทุกคนเรียนรู้ได้และเป้าหมายที่สำคัญคือ
พัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถที่จะแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง
ผู้จัดการเรียนรู้จึงควรสังเกตและศึกษาธรรมชาติของการเรียนรู้ของผู้เรียน
ว่าถนัดที่จะเรียนรู้แบบใดมากที่สุด
ในขณะเดียวกันกิจกรรมการเรียนรู้จะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้วางแผนการเรียน
รู้ด้วยตนเอง (ซึ่งจะกล่าวถึงรายละเอียดอีกครั้งในการเรียนรู้โดยโครงงาน)
การสนับสนุนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้ของตนเอง
ผู้เรียนจะได้รับการฝึกด้านการจัดการแล้วยังฝึกด้านสมาธิ ความมีวินัยในตนเอง
และการรู้จักตนเองมากขึ้น
เมื่อครูจัดการเรียนการสอนและการประเมินผลแล้ว
และมีความประสงค์จะตรวจสอบว่าได้ดำเนินการถูกต้องตามหลักการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญหรือไม่
ครูสามารถตรวจสอบด้วยตนเอง โดยใช้เกณฑ์มาตรฐานด้านกระบวนการ มาตรฐานที่ 18
ซึ่งมีตัวบ่งชี้ดังต่อไปนี้
1.
มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างหลากหลาย
เหมาะสมกับธรรมชาติและสนองความต้องการของผู้เรียน
2.
มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่กระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักคิดวิเคราะห์
คิดสังเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ คิดแก้ปัญหาและตัดสินใจ
3.
มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่กระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักศึกษาหาความรู้
แสวงหาคำตอบและสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
4.
มีการนำภูมิปัญญาท้องถิ่น เทคโนโลยีและสื่อที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน
5.
มีการจัดกิจกรรมเพื่อฝึกและส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมของผู้เรียน
6.
มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาสุนทรียภาพอย่างครบถ้วน
ทั้งด้านดนตรี ศิลปะและกีฬา
7.
ส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย การทำงานร่วมกับผู้อื่นและความรับผิดชอบต่อกลุ่มร่วมกัน
8.
มีการประเมินพัฒนาการของผู้เรียนด้วยวิธีการหลากหลายและต่อเนื่อง
9.
มีการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนรักสถานศึกษาของตนและมีความกระตือรือร้นในการไปเรียน
1. กระบวนการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ 4
โดย สาโรช บัวศร
2. กระบวนการกัลยาณมิตร โดย สุมน
อมรวิวัฒน์
3. กระบวนการทางปัญญา โดย ประเวศ วะสี
4. กระบวนการคิด โดย ชัยอนันต์
สมุทวณิช
5. กระบวนการคิด โดย เกรียงศักดิ์
เจริญวงศ์ศักดิ์
6. มิติการคิดและกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
โดย ทิศนา แขมมณีและคณะ
7. กระบวนการสอนค่านิยมและจริยธรรม โดย
โกวิท ประวาลพฤกษ์
8. กระบวนการต่างๆ โดย กรมวิชาการ
กระทรวงศึกษาธิการ
-
ทักษะกระบวนการ 9 ขั้น
-
กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด
-
กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
-
กระบวนการแก้ปัญหา
-
กระบวนการสร้างความตระหนัก
-
กระบวนการปฏิบัติ
-
กระบวนการคณิตศาสตร์
-
กระบวนการเรียนภาษา
-
กระบวนการกลุ่ม
-
กระบวนการสร้างเจตคติ
-
กระบวนการสร้างค่านิยม
-
กระบวนการเรียนรู้ความเข้าใจ
กระบวนการเรียนรู้ คือ
แนวทางดำเนินการเรียนการสอนในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มี ขั้นตอนเป็นลำดับ
ที่ช่วยให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพ ทั้งกลุ่มใหญ่ กลุ่มย่อย
รายบุคคลและนำไปสู่ความสำเร็จจามจุดประสงค์โดยใช้ทรัพยากรและเวลาน้อยที่สุด
สงบ ลักษณะ (2539: 38 – 47) กล่าวถึงการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
ซึ่งได้รวบรวมกระบวนการต่างๆ ไว้ 12 กระบวนการ
ดังนี้
1.
ทักษะกระบวนการสร้างความคิดรวบยอด
2.
ทักษะกระบวนการปฏิบัติ
3.
ทักษะกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณาญาณ
4.
ทักษะกระบวนการสร้างความตระหนัก
5.
ทักษะกระบวนการสร้างเจตคติ
6.
ทักษะกระบวนการสร้างค่านิยม
7.
ทักษะกระบวนการเรียนความรู้ ความเข้าใจ
8.
ทักษะกระบวนการเรียนภาษา
9.
ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา
10. ทักษะกระบวนการ 9 ขั้น
11. ทักษะกระบวนการกลุ่ม
12. ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์
นอกจากนั้นยังมีวิธีการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญอีกหลายวิธี เช่น
วิธีการสอนทางประวัติศาสตร์ วิธีการสอนกระบวนการคิดแบบโยนิโสมนสิการ
คิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย คิดแบบคุณค่าแท้ คุณค่าเทียม คิดแบบอริยสัจ 4 การเรียนรู้แบบโครงงาน
เป็นต้น
กระบวนการเรียนรู้ต่างๆ
มีขั้นตอนไว้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้เพื่อให้เกิด
ประสิทธิภาพแก่ผู้เรียนมากที่สุด ดังนี้
1.
ทักษะกระบวนการ สร้างความคิดรวบยอด
ขั้นตอน
|
แนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้
|
1. การสังเกต
|
ให้ผู้เรียนได้รับรู้
ข้อมูลและศึกษาด้วยวิธีการต่างๆ โดยใช้สื่อประกอบ
เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดข้อกำหนดเฉพาะด้วยตนเอง
|
2. การจำแนกความแตกต่าง
|
ให้ผู้เรียนบอกข้อแตกต่างของสิ่งที่รับรู้
และให้เหตุผลในความแตกต่างนั้น
|
3. การหาลักษณะร่วม
|
ผู้เรียนมองเห็นความเหมือนความเหมือนในภาพรวมของสิ่งที่ได้รับรู้และสรุปเป็นวิธีการ
หลักการ คำจำกัดความ นิยามได้
|
4. ระบุชื่อความคิดรวบยอด
|
ผู้เรียนได้ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่รับรู้
|
5. การทดสอบและนำไปใช้
|
ผู้เรียนได้ทดลอง ทดสอบ สังเกต
ทำแบบฝึกหัด
ปฏิบัติ เพื่อประเมินความรู้
|
2.
ทักษะกระบวนการปฏิบัติ
ขั้นตอน
|
แนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้
|
1. การสังเกต
รับรู้
|
ผู้เรียนได้เห็นตัวอย่างหลากหลายจนเกิดความเข้าใจและสรุปความ
คิดรวบยอด
|
2. การทำตามแบบ
|
ทำตามตัวอย่างที่แสดงให้เห็นทีละขั้นตอนจากขั้นพื้นฐานไปถึงงานที่ซับซ้อนขึ้น
|
3. การทำโดยไม่มีแบบ
|
ฝึกปฏิบัติชนิดครบถ้วนกระบวนการทำงานตั้งแต่ต้นจนจบด้วยตนเอง
|
4. การฝึกให้เกิดทักษะ
|
ปฏิบัติด้วยตนเองจนเกิดความชำนาญ
หรือทำได้โดยอัตโนมัติ อาจจะเป็นงานชิ้นเดิมหรืองานที่คิดขึ้นใหม่
|
3.
ทักษะกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
ขั้นตอน
|
แนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้
|
1. การสังเกต
|
ให้ผู้เรียนเน้นการทำกิจกรรม
รับรู้แบบปรนัยให้เข้าใจ ได้ความคิดรวบยอด
เชื่อมโยง
ความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ สรุปเป็นใจความสำคัญครบถ้วนตรงตามหลักฐานข้อมูล
|
2. การอธิบาย
|
ให้ผู้เรียนตอบคำถาม
แสดงความคิดเห็น เชิงเห็นด้วย ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่กำหนด เน้นการใช้เหตุผล
หลักการ กฎเกณฑ์ อ้างหลักฐานข้อมูลประกอบให้น่าเชื่อถือ
|
3. การรับฟัง
|
ให้ผู้เรียนได้ฟังความคิดเห็น
ได้ตอบคำถามวิพากษ์ วิจารณ์จากผู้อื่นที่มีความคิดเห็นของตน
หรือข้อมูลที่ดีกว่าโดยไม่ใช้อารมณ์ต่อความคิดเห็น
|
4. การเชื่อมโยงความ
สัมพันธ์
|
ผู้เรียนได้เปรียบเทียบความแตกต่างและความคล้ายคลึงของสิ่งของต่างๆ
ให้สรุปจัดกลุ่มสิ่งที่เป็นพวกเดียวกัน เชื่อมโยงเหตุการณ์ เชิงหาเหตุผล
หากฎเกณฑ์การเชื่อมโยงลักษณะอุปมา อุปไมย
|
5. วิจารณ์
|
จัดกิจกรรมให้วิเคราะห์เหตุการณ์
คำกล่าว แนวคิด หรือการกระทำแล้วให้จำแนกจุดเด่น จุดด้อย ส่วนดี ส่วนเสีย
ส่วนสำคัญ ไม่สำคัญ จากสิ่งนั้นด้วยการยกเหตุผล หลักการมาประกอบการวิจารณ์
|
6. สรุป
|
จัดกิจกรรมให้พิจารณาส่วน
ประกอบของการกระทำหรือข้อมูลต่างๆที่เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันแล้ว
ให้สรุปผลอย่างตรงและถูกต้องตามหลักฐานข้อมูล
|
ขั้นตอน
|
แนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้
|
1. สังเกต
|
ให้ข้อมูลที่ต้องการ
ให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ เอาใจใส่และเห็นคุณค่า
|
2. วิจารณ์
|
ให้ตัวอย่าง สถานการณ์
ประสบการณ์ตรงเพื่อให้ผู้เรียนวิเคราะห์ สาเหตุ ผลดี ผลเสีย
ที่จะเกิดขึ้นทั้งในระยะสั้น และระยะยาว
|
3. สรุป
|
ผู้เรียนอภิปราย หาข้อมูล
หรือหลักฐานมาสนับสนุนคุณค่าของสิ่งที่จะต้องตระหนัก
และวางเป้าหมายที่จะพัฒนาตนเองในเรื่องนั้น
|
5. ทักษะกระบวนการสร้างเจตคติ
ขั้นตอน
|
แนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้
|
1.
สังเกต
|
ผู้เรียนพิจารณาข้อมูล เหตุการณ์ การกระทำที่เกี่ยวข้องกับการมี
เจตคติที่ไม่ดี
|
2.
วิเคราะห์
|
ผู้เรียนพิจารณาผลที่เกิดขึ้นตามมา
แยกเป็นการกระทำที่เหมาะสมได้ผลตามที่น่าพอใจ
การกระทำที่ไม่เหมาะสมตามที่ไม่น่าพอใจ
|
3.
สรุป
|
ผู้เรียนรวบรวมข้อมูลเป็นหลักการ แนวคิด
แนวปฏิบัติด้วยเหตุผลของความพอใจ
|
6. ทักษะกระบวนการสร้างค่านิยม
ขั้นตอน
|
แนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้
|
1.
สังเกต ตระหนัก
|
ผู้เรียนพิจารณาข้อมูล เหตุการณ์ การกระทำที่เกี่ยวข้องกับการมี
เจตคติที่ไม่ดี
|
2.
ประเมินเชิงเหตุผล
|
ผู้เรียนพิจารณาผลที่เกิดขึ้นตามมา
แยกเป็นการกระทำที่เหมาะสมได้ผลตามที่น่าพอใจ
การกระทำที่ไม่เหมาะสมตามที่ไม่น่าพอใจ
|
3.
กำหนดค่านิยม
|
ผู้เรียนรวบรวมข้อมูลเป็นหลักการ แนวคิด
แนวปฏิบัติด้วยเหตุผลของความพอใจ
|
4.
วางแผนปฏิบัติ
|
กลุ่มช่วยกันกำหนดแนวปฏิบัติในสถานการณ์จริง
โดนครูมีส่วนร่วมในการรับทราบกติกา การกระทำ
และสำรวจสิ่งที่ผู้เรียนต้องการจะได้รับเมื่อได้กระทำดีแล้ว
เช่นการได้ประกาศชื่อให้เป็นที่ยอมรับ
|
5.
ปฏิบัติด้วยความชื่นชม
|
ครูให้การเสริมแรงตามกติการะหว่างการปฏิบัติให้ผู้เรียนเกิดความชื่นชมยินดี
|
7. ทักษะกระบวนการเรียน ความรู้ ความเข้าใจ
ขั้นตอน
|
แนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้
|
1. สังเกต ตระหนัก
|
ผู้เรียนพิจารณาข้อมูล
สาระความรู้ เพื่อสร้างความคิดรวบยอดกระตุ้นให้ตั้งคำถาม ตั้งข้อสังเกต
สังเคราะห์ข้อมูล เพื่อทำความเข้าใจในสิ่งที่ต้องการรู้
และกำหนดเป็นวัตถุประสงค์ เป็นแนวทางที่จะแสวงหาคำตอบต่อไป
|
2. วางแผนปฏิบัติ
|
ผู้เรียนนำวัตถุประสงค์
หรือคำถามที่ทุกคนสนใจจะหาคำตอบมาวางแผน เพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม
|
3. ลงมือปฏิบัติ
|
ผู้เรียนกำหนดให้สมาชิกในกลุ่มย่อย
ได้แสวงหาคำตอบจากแหล่งความรู้ด้วยวิธีต่างๆ เช่น ค้นคว้า สัมภาษณ์
ศึกษานอกสถานที่ หา
ข้อมูลจากองค์กรในชุมชน
ตามแผนที่วางไว้
|
4. พัฒนาความรู้
ความเข้าใจ
|
นำความรู้ที่ได้มารายงาน
และอภิปรายเชิงแปลความหมาย ตีความ ขยายความ นำไปใช้วิเคราะห์ สังเคราะห์
และประเมินค่า
|
5. สรุป
|
รวบรวมเป็นสาระที่ควรรู้
บันทึกลงสมุดผู้เรียน
|
8. ทักษะกระบวนการเรียนภาษา
ขั้นตอน
|
แนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้
|
1. ทำความเข้าใจสัญลักษณ์
|
ผู้เรียนรับรู้เกี่ยวกับความหมายของคำ
กลุ่มคำประโยค สำนวนต่างๆ
|
2. สร้างความคิดรวบยอด
|
ผู้เรียนเกิดการเชื่อมโยงความรู้จากประสบการณ์มาสู่ความเข้าใจและเกิดภาพรวมเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนด้วยตนเอง
|
3.สื่อความหมาย
ความคิด
|
ผู้เรียนถ่ายทอดทางภาษาให้ผู้อื่นเข้าใจ
|
4. พัฒนาความสามารถ
|
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามขั้นตอน
คือความรู้ ความจำ เข้าใจ นำไปใช้วิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่าได้
|
9. ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา
ขั้นตอน
|
แนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้
|
1. สังเกต
|
ผู้เรียนศึกษาข้อมูล
รับรู้และทำความเข้าใจในปัญหาจนสามารถสรุป และตระหนักในปัญหานั้น
|
2. การวิเคราะห์
|
ผู้เรียนได้อภิปรายหรือแสดงความคิดเห็น
เพื่อแยกแยะประเด็นปัญหา สภาพ สาเหตุและลำดับความสำคัญของปัญหา
|
3. สร้างทางเลือก
|
ผู้เรียนแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาอย่างหลากหลาย
ซึ่งอาจมีการทดลอง ค้นคว้า ตรวจสอบเพื่อเป็นข้อมูลประกอบกรณี ที่ให้
ผู้เรียนทำกิจกรรมกลุ่ม
ควรมีการกำหนดหน้าที่ในการทำงาน
|
4. เก็บข้อมูลประเมินทางเลือก
|
ผู้เรียนได้ปฏิบัติตามแผนและบันทึกการปฏิบัติงานเพื่อรายงานและ
ตรวจสอบความถูกต้องของทางเลือก
|
5. สรุป
|
ผู้เรียนสังเคราะห์ความรู้ด้วยตนเอง
อาจจัดทำเป็นรูปของการ
รายงาน
|
10. ทักษะกระบวนการ 9 ขั้น
ขั้นตอน
|
แนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้
|
1. ตระหนักในปัญหาและความจำเป็น
|
ครูยกสถานการณ์ตัวอย่างให้ผู้เรียนเข้าใจและตระหนักในปัญหาและความจำเป็นในเรื่องที่ศึกษาหรือเห็นประโยชน์
ความสำคัญของการศึกษาเรื่องนั้น โดยครูอาจนำเสนอเป็นกรณีตัวอย่าง
หรือสถานการณ์ที่สะท้อนให้เห็นปัญหาความขัดแย้งของเรื่องที่ศึกษา
โดยใช้สื่อประกอบ เช่น รูปภาพวีดีทัศน์ สถานการณ์จริง กรณีตัวอย่าง สไลด์ ฯลฯ
|
2. คิดวิเคราะห์
วิจารณ์
|
กระตุ้นผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์
วิจารณ์ ตอบคำถาม แบบฝึกหัด
ข้อมูลและให้โอกาสผู้เรียนแสดงความคิดเห็นเป็นกลุ่มหรือรายบุคคล
|
3.
สร้างทางเลือก
|
ผู้เรียนแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาอย่างหลากหลาย
โดยร่วมกันคิดเสนอทางเลือกและอภิปรายข้อดี ข้อเสียของทางเลือกนั้นๆ
|
4.
ประเมินและเลือกทา
|
ผู้เรียนตัดสินทางเลือกแนวทางในการแก้ปัญหา
โดยร่วมกันสร้างเกณฑ์ที่ต้องคำนึงถึงปัจจัย วิธีดำเนินการ ผลผลิต ข้อจำกัด
ความเหมาะสม กาลเทศะเพื่อใช้ในการพิจารณา ตัดสินเลือกแนวทางการแก้ปัญหา
ซึ่งอาจใช้วิธีระดมพลังสมอง อภิปราย ศึกษา ค้นคว้า
|
5.
กำหนดและลำดับ
ขั้นตอนการปฏิบัติ
|
ผู้เรียนวางแผนการทำงานของตนเอง หรือกลุ่มอาจใช้ลำดับขั้นตอน
การดำเนินงาน ดังนี้
ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน
กำหนดวัตถุประสงค์
กำหนดขั้นตอนการทำงาน
กำหนดผู้รับผิดชอบ(กรณีทำงานกลุ่ม)
กำหนดระยะเวลาการทำงาน
กำหนดวิธีการประเมินผล
|
6.
ปฏิบัติด้วยความชื่นชม
|
ผู้เรียนได้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ด้วยความสมัครใจ ตั้งใจ
มีความกระตือรือร้น และเพลิดเพลินกับการทำงาน
|
7.
ประเมินระหว่างปฏิบัติ
|
ผู้เรียนได้สำรวจปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงานโดยการซักถาม
อภิปรายและเปลี่ยนความคิดเห็น มีการประเมินผลการปฏิบัติงาน
ตามขั้นตอนและตามแผนที่กำหนดไว้ โดยสรุปผลการทำงานแต่ละช่วง
แล้วเสนอแนวทางการปรับปรุง การทำงานขั้นต่อไป
|
8.
ปรับปรุงให้ดีขึ้นเสมอ
|
ผู้เรียนนำผลที่ได้จากการประเมินในแต่ละขั้นตอน
มาเป็นแนวทางในการพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
|
9.
ประเมินผลรวมเพื่อให้
เกิดความภูมิใจ
|
ผู้เรียนสรุปผลการดำเนินงาน โดยการเปรียบเทียบผลงานกับวัตถุประสงค์
ที่กำหนดไว้และผลพลอยได้อื่นๆซึ่งอาจเผยแพร่ขยาย
ผลงานแก่ผู้อื่น ได้รับรู้ด้วยความเต็มใจและภาคภูมิใจ
|
11. ทักษะกระบวนการกลุ่ม
เป็นกระบวนการที่มุ่งให้ผู้เรียนทำงานร่วมกัน โดยเน้นกิจกรรม ดังนี้
1.
มีผู้นำกลุ่ม ซึ่งผลัดเปลี่ยนกัน
2.
วางแผน กำหนดวัตถุประสงค์และวิธีการ
3.
รับฟังความคิดเห็นจากสมาชิกทุกคนบนพื้นฐานของเหตุผล
4.
แบ่งหน้าที่รับผิดชอบ เมื่อมีการปฏิบัติ
5.
ติดตามผลการปฏิบัติและการปรับปรุง
6.
ประเมินผลรวมและชื่นชมในผลงานของกลุ่ม
กระบวนการนี้มีด้วยกัน 2 วิธี คือ
ทักษะการคิดคำนวณ มีขั้นตอนย่อยๆ ดังนี้
สร้างความคิดรวบยอดของคำ นิยามศัพท์ สอนกฎโดยวิธีอุปนัย
(สอยจากตัวอย่างไปสู่กฎเกณฑ์ใหม่) ฝึกฝนวินิจฉัย
ปรับปรุง แก้ไขข้อบกพร่องและเสริมแรง
ทักษะการแก้ปัญหาโจทย์การสอน มีขั้นตอนย่อยๆ
ดังนี้ แปลโจทย์ในเชิงภาษา หาวิธีแก้ไขโจทย์ วางแผนปฏิบัติตามขั้นตอน และตรวจสอบคำตอบ
วิธีการจัดการเรียนรู้โดยกระบวนการเรียนรู้ด้วยวิธีทางประวัติศาสตร์
(Historical method) เป็นการสอนที่สำคัญที่ให้ผู้เรียนฝึกทักษะในการค้นคว้าหาข้อเท็จจริงและคิดหาเหตุผล
หาคำตอบด้วยตนเอง เป็นการพัฒนาความสามารถในการคิดแบบสร้างสรรค์
และวิเคราะห์วิจารณ์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนนำวิธีการศึกษาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
เป็นวิธีการเรียนรู้ที่ใช้ในการสอนสังคมศึกษาได้ทุกระดับ ขึ้นอยู่กับทักษะ
ความพร้อม ที่จะพัฒนาไปอย่างช้าๆ ตามความสามารถและความสนใจ
ในการสอนประวัติศาสตร์มีทฤษฎีที่ใช้เป็นแม่บท คือ
การสอนด้วยวิธีทางประวัติศาสตร์ (Historical method) ซึ่งนักประวัติศาสตร์ใช้ในการค้นคว้าหาคำตอบ
โดยมีขั้นตอน ดังนี้
1) ขั้นกำหนดปัญหา หรือข้อสมมุติฐาน
เป็นขั้นการสังเกตของผู้เรียนและผู้สอนร่วมกันเพื่อค้นพบข้อคิดเกี่ยวกับเรื่องราวเหตุการณ์หรือพฤติกรรมของบุคคลในประวัติศาสตร์
ซึ่งมีรายละเอียดอยู่ในเนื้อหาของบทเรียน
ผู้สอนต้องวางแผน เตรียมการล่วงหน้าเพื่อให้เกิดความพร้อมในการแนะนำผู้เรียนให้เกิดข้อคิดในระหว่างเรียน นำไปสู่การกำหนดปัญหา ถ้าผู้เรียนมีประสบการณ์มาแล้ว อาจจะให้ผู้เรียนเดาคำตอบหรือกำหนดแนวทางเกี่ยวกับคำตอบของปัญหา ในรูปของการกำหนดสมมุติฐาน
ผู้สอนต้องวางแผน เตรียมการล่วงหน้าเพื่อให้เกิดความพร้อมในการแนะนำผู้เรียนให้เกิดข้อคิดในระหว่างเรียน นำไปสู่การกำหนดปัญหา ถ้าผู้เรียนมีประสบการณ์มาแล้ว อาจจะให้ผู้เรียนเดาคำตอบหรือกำหนดแนวทางเกี่ยวกับคำตอบของปัญหา ในรูปของการกำหนดสมมุติฐาน
2) ขั้นแสวงหาความรู้โดยการรวบรวมหลักฐาน
ขั้นนี้ผู้สอนต้องแนะนำเกี่ยวกับการค้นคว้าบอกแหล่งเรียนรู้เพื่อรวบรวมหลักฐาน ผู้สอนอาจเตรียมเอกสารเพื่อประกอบการค้นคว้าเกิดความสะดวก
เป็นการสนองความอยากรู้อยากเห็นของผู้เรียน ข้อสำคัญต้องมีการจำแนกหลักฐานเป็น 2 ประเภท คือ
หลักฐานชั้นต้น เป็นหลักฐานที่เขียนหรือพูดจากประสบการณ์ตรง และหลักฐานชั้นรอง
เป็นหลักฐานที่นำหลักฐานชั้นต้นมาเรียบเรียงใหม่3) ขั้นวิเคราะห์และประเมินคุณค่าข้อมูล
ผู้สอนต้องให้คำแนะนำ และสาธิตวิธีการวิเคราะห์ ประเมินคุณค่าข้อมูลโดยอาศัยหลักฐาน ซึ่งแบ่งการประเมินคุณค่าเป็น 2 ประเภท คือ การประเมินคุณค่าภายนอก คือ การพิจารณาจากหลักฐานอื่นด้วย และการประเมินคุณค่าภายใน คือ การวิเคราะห์จากเหตุผล ความฉลาด ความรอบรู้ค้นคว้าหาเหตุผล ถูกต้องและตรงตามความเป็นจริงที่สุด คือขั้นของการสังเคราะห์
4) ขั้นตีความและสังเคราะห์
เป็นขั้นนำหลักฐานที่ผ่านการวิเคราะห์มาประเมินคุณค่า ด้วยการตีความและสังเคราะห์เพื่อให้เกิดความเข้าใจข้อเท็จจริง ในรูปของแนวคิดรวบยอด หรือมโนทัศน์ (concept) ของการเรียนรู้
5) ขั้นนำเสนอข้อมูล
เป็นการนำความรู้และแนวคิดที่ผ่านการวิเคราะห์และสังเคราะห์แล้ว มาบรรยายอภิปรายสัมมนา การทำรายงาน และอื่นๆ ต่อผู้อื่น เพื่อให้น่าสนใจ มีคุณค่า เร้าใจให้ติดตาม อันเป็นขั้นสุดท้ายของกระบวนการเรียนรู้
กระบวนการเรียนรู้ คือ แนวทางดำเนินการเรียนการสอนในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มีขั้นตอนเป็นลำดับ ที่ช่วยให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพ ทั้งกลุ่มใหญ่ กลุ่มย่อย รายบุคคลและนำไปสู่ความสำเร็จจามจุดประสงค์โดยใช้ทรัพยากรและเวลาน้อยที่สุด สงบ ลักษณะ (2539: 38 – 47) กล่าวถึงการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งได้รวบรวมกระบวนการต่างไว้ 12 กระบวนการ ดังนี้
1.
ทักษะกระบวนการสร้างความคิดรวบยอด
2.
ทักษะกระบวนการปฏิบัติ
3.
ทักษะกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณาญาณ
4.
ทักษะกระบวนการสร้างความตระหนัก
5.
ทักษะกระบวนการสร้างเจตคติ
6.
ทักษะกระบวนการสร้างค่านิยม
7.
ทักษะกระบวนการเรียนความรู้ ความเข้าใจ
8.
ทักษะกระบวนการเรียนภาษา
9.
ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา
10. ทักษะกระบวนการ 9 ขั้น
11. ทักษะกระบวนการกลุ่ม
12. ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์
นอกจากนั้นยังมีวิธีการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญอีกหลายวิธี เช่น
วิธีการสอนทางประวัติศาสตร์ วิธีการสอนกระบวนการคิดแบบโยนิโสมนสิการ
คิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย คิดแบบคุณค่าแท้ คุณค่าเทียม คิดแบบอริยสัจ 4 การเรียนรู้แบบโครงงาน
เป็นต้น
กระบวนการเรียนรู้ต่างๆ
มีขั้นตอนไว้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้เพื่อให้เกิด
ประสิทธิภาพแก่ผู้เรียนมากที่สุด ดังนี้
1.
ทักษะกระบวนการ สร้างความคิดรวบยอด
ขั้นตอน
|
แนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้
|
1.
การสังเกต
|
ให้ผู้เรียนได้รับรู้ ข้อมูลและศึกษาด้วยวิธีการต่างๆ
โดยใช้สื่อประกอบ
เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดข้อกำหนดเฉพาะด้วยตนเอง
|
2.
การจำแนกความแตกต่าง
|
ให้ผู้เรียนบอกข้อแตกต่างของสิ่งที่รับรู้
และให้เหตุผลในความแตกต่างนั้น
|
3.
การหาลักษณะร่วม
|
ผู้เรียนมองเห็นความเหมือนความเหมือนในภาพรวมของสิ่งที่ได้รับรู้และสรุปเป็นวิธีการ
หลักการ คำจำกัดความ นิยามได้
|
4.
ระบุชื่อความคิดรวบยอด
|
ผู้เรียนได้ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่รับรู้
|
5.
การทดสอบและนำไปใช้
|
ผู้เรียนได้ทดลอง ทดสอบ สังเกต ทำแบบฝึกหัด ปฏิบัติ
เพื่อประเมินความรู้
|
2.
ทักษะกระบวนการปฏิบัติ
ขั้นตอน
|
แนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้
|
1.
การสังเกต รับรู้
|
ผู้เรียนได้เห็นตัวอย่างหลากหลายจนเกิดความเข้าใจและสรุปความ
คิดรวบยอด
|
2.
การทำตามแบบ
|
ทำตามตัวอย่างที่แสดงให้เห็นทีละขั้นตอนจากขั้นพื้นฐานไปถึงงานที่ซับซ้อนขึ้น
|
3.
การทำโดยไม่มีแบบ
|
ฝึกปฏิบัติชนิดครบถ้วนกระบวนการทำงานตั้งแต่ต้นจนจบด้วยตนเอง
|
4.
การฝึกให้เกิดทักษะ
|
ปฏิบัติด้วยตนเองจนเกิดความชำนาญ หรือทำได้โดยอัตโนมัติ
อาจจะเป็นงานชิ้นเดิมหรืองานที่คิดขึ้นใหม่
|
3.
ทักษะกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
ขั้นตอน
|
แนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้
|
1.
การสังเกต
|
ให้ผู้เรียนเน้นการทำกิจกรรม รับรู้แบบปรนัยให้เข้าใจ
ได้ความคิดรวบยอด
เชื่อมโยง ความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ
สรุปเป็นใจความสำคัญครบถ้วนตรงตามหลักฐานข้อมูล
|
2.
การอธิบาย
|
ให้ผู้เรียนตอบคำถาม แสดงความคิดเห็น เชิงเห็นด้วย
ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่กำหนด เน้นการใช้เหตุผล หลักการ กฎเกณฑ์
อ้างหลักฐานข้อมูลประกอบให้น่าเชื่อถือ
|
3.
การรับฟัง
|
ให้ผู้เรียนได้ฟังความคิดเห็น ได้ตอบคำถามวิพากษ์
วิจารณ์จากผู้อื่นที่มีความคิดเห็นของตน
หรือข้อมูลที่ดีกว่าโดยไม่ใช้อารมณ์ต่อความคิดเห็น
|
4.
การเชื่อมโยงความ
สัมพันธ์
|
ผู้เรียนได้เปรียบเทียบความแตกต่างและความคล้ายคลึงของสิ่งของต่างๆ
ให้สรุปจัดกลุ่มสิ่งที่เป็นพวกเดียวกัน เชื่อมโยงเหตุการณ์ เชิงหาเหตุผล
หากฎเกณฑ์การเชื่อมโยงลักษณะอุปมา อุปไมย
|
5.
วิจารณ์
|
จัดกิจกรรมให้วิเคราะห์เหตุการณ์ คำกล่าว แนวคิด
หรือการกระทำแล้วให้จำแนกจุดเด่น จุดด้อย ส่วนดี ส่วนเสีย ส่วนสำคัญ ไม่สำคัญ
จากสิ่งนั้นด้วยการยกเหตุผล หลักการมาประกอบการวิจารณ์
|
6.
สรุป
|
จัดกิจกรรมให้พิจารณาส่วน
ประกอบของการกระทำหรือข้อมูลต่างๆที่เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันแล้ว
ให้สรุปผลอย่างตรงและถูกต้องตามหลักฐานข้อมูล
|
4.
ทักษะกระบวนการสร้างความตระหนัก
ขั้นตอน
|
แนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้
|
1.
สังเกต
|
ให้ข้อมูลที่ต้องการ ให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ เอาใจใส่และเห็นคุณค่า
|
2.
วิจารณ์
|
ให้ตัวอย่าง สถานการณ์ ประสบการณ์ตรงเพื่อให้ผู้เรียนวิเคราะห์
สาเหตุ ผลดี ผลเสีย ที่จะเกิดขึ้นทั้งในระยะสั้น และระยะยาว
|
3.
สรุป
|
ผู้เรียนอภิปราย หาข้อมูล
หรือหลักฐานมาสนับสนุนคุณค่าของสิ่งที่จะต้องตระหนัก และวางเป้าหมายที่จะพัฒนาตนเองในเรื่องนั้น
|
ขั้นตอน
|
แนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้
|
1.
สังเกต
|
ผู้เรียนพิจารณาข้อมูล เหตุการณ์ การกระทำที่เกี่ยวข้องกับการมี
เจตคติที่ไม่ดี
|
2.
วิเคราะห์
|
ผู้เรียนพิจารณาผลที่เกิดขึ้นตามมา แยกเป็นการกระทำที่เหมาะสมได้ผลตามที่น่าพอใจ
การกระทำที่ไม่เหมาะสมตามที่ไม่น่าพอใจ
|
3.
สรุป
|
ผู้เรียนรวบรวมข้อมูลเป็นหลักการ แนวคิด
แนวปฏิบัติด้วยเหตุผลของความพอใจ
|
ขั้นตอน
|
แนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้
|
1.
สังเกต ตระหนัก
|
ผู้เรียนพิจารณาข้อมูล เหตุการณ์ การกระทำที่เกี่ยวข้องกับการมี
เจตคติที่ไม่ดี
|
2.
ประเมินเชิงเหตุผล
|
ผู้เรียนพิจารณาผลที่เกิดขึ้นตามมา
แยกเป็นการกระทำที่เหมาะสมได้ผลตามที่น่าพอใจ
การกระทำที่ไม่เหมาะสมตามที่ไม่น่าพอใจ
|
3.
กำหนดค่านิยม
|
ผู้เรียนรวบรวมข้อมูลเป็นหลักการ แนวคิด
แนวปฏิบัติด้วยเหตุผลของความพอใจ
|
4.
วางแผนปฏิบัติ
|
กลุ่มช่วยกันกำหนดแนวปฏิบัติในสถานการณ์จริง
โดนครูมีส่วนร่วมในการรับทราบกติกา การกระทำ
และสำรวจสิ่งที่ผู้เรียนต้องการจะได้รับเมื่อได้กระทำดีแล้ว
เช่นการได้ประกาศชื่อให้เป็นที่ยอมรับ
|
5.
ปฏิบัติด้วยความชื่นชม
|
ครูให้การเสริมแรงตามกติการะหว่างการปฏิบัติให้ผู้เรียนเกิดความชื่นชมยินดี
|
7. ทักษะกระบวนการเรียน ความรู้ ความเข้าใจ
ขั้นตอน
|
แนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้
|
1.
สังเกต ตระหนัก
|
ผู้เรียนพิจารณาข้อมูล สาระความรู้
เพื่อสร้างความคิดรวบยอดกระตุ้นให้ตั้งคำถาม ตั้งข้อสังเกต สังเคราะห์ข้อมูล
เพื่อทำความเข้าใจในสิ่งที่ต้องการรู้ และกำหนดเป็นวัตถุประสงค์
เป็นแนวทางที่จะแสวงหาคำตอบต่อไป
|
2.
วางแผนปฏิบัติ
|
ผู้เรียนนำวัตถุประสงค์ หรือคำถามที่ทุกคนสนใจจะหาคำตอบมาวางแผน
เพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม
|
3.
ลงมือปฏิบัติ
|
ผู้เรียนกำหนดให้สมาชิกในกลุ่มย่อย
ได้แสวงหาคำตอบจากแหล่งความรู้ด้วยวิธีต่างๆ เช่น ค้นคว้า สัมภาษณ์
ศึกษานอกสถานที่ หา
ข้อมูลจากองค์กรในชุมชน ตามแผนที่วางไว้
|
4.
พัฒนาความรู้
ความเข้าใจ
|
นำความรู้ที่ได้มารายงาน และอภิปรายเชิงแปลความหมาย ตีความ ขยายความ
นำไปใช้วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่า
|
5.
สรุป
|
รวบรวมเป็นสาระที่ควรรู้ บันทึกลงสมุดผู้เรียน
|
8. ทักษะกระบวนการเรียนภาษา
ขั้นตอน
|
แนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้
|
1.
ทำความเข้าใจสัญลักษณ์
|
ผู้เรียนรับรู้เกี่ยวกับความหมายของคำ กลุ่มคำประโยค สำนวนต่างๆ
|
2.
สร้างความคิดรวบยอด
|
ผู้เรียนเกิดการเชื่อมโยงความรู้จากประสบการณ์มาสู่ความเข้าใจและเกิดภาพรวมเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนด้วยตนเอง
|
3.สื่อความหมาย ความคิด
|
ผู้เรียนถ่ายทอดทางภาษาให้ผู้อื่นเข้าใจ
|
4.
พัฒนาความสามารถ
|
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามขั้นตอน คือความรู้ ความจำ เข้าใจ
นำไปใช้วิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่าได้
|
9. ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา
ขั้นตอน
|
แนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้
|
1.
สังเกต
|
ผู้เรียนศึกษาข้อมูล รับรู้และทำความเข้าใจในปัญหาจนสามารถสรุป
และตระหนักในปัญหานั้น
|
2.
การวิเคราะห์
|
ผู้เรียนได้อภิปรายหรือแสดงความคิดเห็น เพื่อแยกแยะประเด็นปัญหา
สภาพ สาเหตุและลำดับความสำคัญของปัญหา
|
3.
สร้างทางเลือก
|
ผู้เรียนแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาอย่างหลากหลาย
ซึ่งอาจมีการทดลอง ค้นคว้า ตรวจสอบเพื่อเป็นข้อมูลประกอบกรณี ที่ให้
ผู้เรียนทำกิจกรรมกลุ่ม ควรมีการกำหนดหน้าที่ในการทำงาน
|
4.
เก็บข้อมูลประเมินทางเลือก
|
ผู้เรียนได้ปฏิบัติตามแผนและบันทึกการปฏิบัติงานเพื่อรายงานและ
ตรวจสอบความถูกต้องของทางเลือก
|
5.
สรุป
|
ผู้เรียนสังเคราะห์ความรู้ด้วยตนเอง อาจจัดทำเป็นรูปของการ
รายงาน
|
10. ทักษะกระบวนการ 9 ขั้น
ขั้นตอน
|
แนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้
|
1.
ตระหนักในปัญหาและความจำเป็น
|
ครูยกสถานการณ์ตัวอย่างให้ผู้เรียนเข้าใจและตระหนักในปัญหาและความจำเป็นในเรื่องที่ศึกษาหรือเห็นประโยชน์
ความสำคัญของการศึกษาเรื่องนั้น โดยครูอาจนำเสนอเป็นกรณีตัวอย่าง หรือสถานการณ์ที่สะท้อนให้เห็นปัญหาความขัดแย้งของเรื่องที่ศึกษา
โดยใช้สื่อประกอบ เช่น รูปภาพวีดีทัศน์ สถานการณ์จริง
กรณีตัวอย่าง สไลด์ ฯลฯ
|
2.
คิดวิเคราะห์ วิจารณ์
|
กระตุ้นผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ ตอบคำถาม แบบฝึกหัด
ข้อมูลและให้โอกาสผู้เรียนแสดงความคิดเห็นเป็นกลุ่มหรือรายบุคคล
|
3.
สร้างทางเลือก
|
ผู้เรียนแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาอย่างหลากหลาย
โดยร่วมกันคิดเสนอทางเลือกและอภิปรายข้อดี ข้อเสียของทางเลือกนั้นๆ
|
4.
ประเมินและเลือกทา
|
ผู้เรียนตัดสินทางเลือกแนวทางในการแก้ปัญหา
โดยร่วมกันสร้างเกณฑ์ที่ต้องคำนึงถึงปัจจัย วิธีดำเนินการ ผลผลิต ข้อจำกัด
ความเหมาะสม กาลเทศะเพื่อใช้ในการพิจารณา ตัดสินเลือกแนวทางการแก้ปัญหา
ซึ่งอาจใช้วิธีระดมพลังสมอง อภิปราย ศึกษา ค้นคว้า
|
5.
กำหนดและลำดับ
ขั้นตอนการปฏิบัติ
|
ผู้เรียนวางแผนการทำงานของตนเอง หรือกลุ่มอาจใช้ลำดับขั้นตอน
การดำเนินงาน ดังนี้
ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน
กำหนดวัตถุประสงค์
กำหนดขั้นตอนการทำงาน
กำหนดผู้รับผิดชอบ(กรณีทำงานกลุ่ม)
กำหนดระยะเวลาการทำงาน
กำหนดวิธีการประเมินผล
|
6.
ปฏิบัติด้วยความชื่นชม
|
ผู้เรียนได้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ด้วยความสมัครใจ ตั้งใจ
มีความกระตือรือร้น และเพลิดเพลินกับการทำงาน
|
7.
ประเมินระหว่างปฏิบัติ
|
ผู้เรียนได้สำรวจปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงานโดยการซักถาม
อภิปรายและเปลี่ยนความคิดเห็น มีการประเมินผลการปฏิบัติงาน
ตามขั้นตอนและตามแผนที่กำหนดไว้ โดยสรุปผลการทำงานแต่ละช่วง
แล้วเสนอแนวทางการปรับปรุง การทำงานขั้นต่อไป
|
8.
ปรับปรุงให้ดีขึ้นเสมอ
|
ผู้เรียนนำผลที่ได้จากการประเมินในแต่ละขั้นตอน
มาเป็นแนวทางในการพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
|
9.
ประเมินผลรวมเพื่อให้
เกิดความภูมิใจ
|
ผู้เรียนสรุปผลการดำเนินงาน โดยการเปรียบเทียบผลงานกับวัตถุประสงค์
ที่กำหนดไว้และผลพลอยได้อื่นๆซึ่งอาจเผยแพร่ขยาย
ผลงานแก่ผู้อื่น ได้รับรู้ด้วยความเต็มใจและภาคภูมิใจ
|
เป็นกระบวนการที่มุ่งให้ผู้เรียนทำงานร่วมกัน โดยเน้นกิจกรรม ดังนี้
1.
มีผู้นำกลุ่ม ซึ่งผลัดเปลี่ยนกัน
2.
วางแผน กำหนดวัตถุประสงค์และวิธีการ
3.
รับฟังความคิดเห็นจากสมาชิกทุกคนบนพื้นฐานของเหตุผล
4.
แบ่งหน้าที่รับผิดชอบ เมื่อมีการปฏิบัติ
5.
ติดตามผลการปฏิบัติและการปรับปรุง
6.
ประเมินผลรวมและชื่นชมในผลงานของกลุ่ม
12. ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์
กระบวนการนี้มีด้วยกัน 2 วิธี คือ
ทักษะการคิดคำนวณ มีขั้นตอนย่อยๆ
ดังนี้ สร้างความคิดรวบยอดของคำ นิยามศัพท์
สอนกฎโดยวิธีอุปนัย (สอยจากตัวอย่างไปสู่กฎเกณฑ์ใหม่) ฝึกฝนวินิจฉัย
ปรับปรุง แก้ไขข้อบกพร่องและเสริมแรง
ทักษะการแก้ปัญหาโจทย์การสอน มีขั้นตอนย่อยๆ
ดังนี้ แปลโจทย์ในเชิงภาษา หาวิธีแก้ไขโจทย์ วางแผนปฏิบัติตามขั้นตอน และตรวจสอบคำตอบ
13. วิธีการทางประวัติศาสตร์
วิธีการจัดการเรียนรู้โดยกระบวนการเรียนรู้ด้วยวิธีทางประวัติศาสตร์
(Historical method) เป็นการสอนที่สำคัญที่ให้ผู้เรียนฝึกทักษะในการค้นคว้าหาข้อเท็จจริงและคิดหาเหตุผล
หาคำตอบด้วยตนเอง เป็นการพัฒนาความสามารถในการคิดแบบสร้างสรรค์
และวิเคราะห์วิจารณ์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนนำวิธีการศึกษาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
เป็นวิธีการเรียนรู้ที่ใช้ในการสอนสังคมศึกษาได้ทุกระดับ ขึ้นอยู่กับทักษะ
ความพร้อม ที่จะพัฒนาไปอย่างช้าๆ ตามความสามารถและความสนใจ
ในการสอนประวัติศาสตร์มีทฤษฎีที่ใช้เป็นแม่บท คือ
การสอนด้วยวิธีทางประวัติศาสตร์ (Historical method) ซึ่งนักประวัติศาสตร์ใช้ในการค้นคว้าหาคำตอบ
โดยมีขั้นตอน ดังนี้
1.
ขั้นกำหนดปัญหา หรือข้อสมมุติฐาน
เป็นขั้นการสังเกตของผู้เรียนและผู้สอนร่วมกันเพื่อค้นพบข้อคิดเกี่ยวกับเรื่องราวเหตุการณ์หรือพฤติกรรมของบุคคลในประวัติศาสตร์
ซึ่งมีรายละเอียดอยู่ในเนื้อหาของบทเรียน
ผู้สอนต้องวางแผน เตรียมการล่วงหน้าเพื่อให้เกิดความพร้อมในการแนะนำผู้เรียนให้เกิดข้อคิดในระหว่างเรียน นำไปสู่การกำหนดปัญหา ถ้าผู้เรียนมีประสบการณ์มาแล้ว อาจจะให้ผู้เรียนเดาคำตอบหรือกำหนดแนวทางเกี่ยวกับคำตอบของปัญหา ในรูปของการกำหนดสมมุติฐาน
ผู้สอนต้องวางแผน เตรียมการล่วงหน้าเพื่อให้เกิดความพร้อมในการแนะนำผู้เรียนให้เกิดข้อคิดในระหว่างเรียน นำไปสู่การกำหนดปัญหา ถ้าผู้เรียนมีประสบการณ์มาแล้ว อาจจะให้ผู้เรียนเดาคำตอบหรือกำหนดแนวทางเกี่ยวกับคำตอบของปัญหา ในรูปของการกำหนดสมมุติฐาน
2.
ขั้นแสวงหาความรู้โดยการรวบรวมหลักฐาน
ขั้นนี้ผู้สอนต้องแนะนำเกี่ยวกับการค้นคว้าบอกแหล่งเรียนรู้เพื่อรวบรวมหลักฐาน ผู้สอนอาจเตรียมเอกสารเพื่อประกอบการค้นคว้าเกิดความสะดวก
เป็นการสนองความอยากรู้อยากเห็นของผู้เรียน ข้อสำคัญต้องมีการจำแนกหลักฐานเป็น 2 ประเภท คือ หลักฐานชั้นต้น
เป็นหลักฐานที่เขียนหรือพูดจากประสบการณ์ตรง และหลักฐานชั้นรอง
เป็นหลักฐานที่นำหลักฐานชั้นต้นมาเรียบเรียงใหม่
3.
ขั้นวิเคราะห์และประเมินคุณค่าข้อมูล
ผู้สอนต้องให้คำแนะนำ และสาธิตวิธีการวิเคราะห์
ประเมินคุณค่าข้อมูลโดยอาศัยหลักฐาน ซึ่งแบ่งการประเมินคุณค่าเป็น 2 ประเภท คือ
การประเมินคุณค่าภายนอก คือ การพิจารณาจากหลักฐานอื่นด้วย
และการประเมินคุณค่าภายใน คือ การวิเคราะห์จากเหตุผล ความฉลาด
ความรอบรู้ค้นคว้าหาเหตุผล ถูกต้องและตรงตามความเป็นจริงที่สุด
คือขั้นของการสังเคราะห์
4.
ขั้นตีความและสังเคราะห์
เป็นขั้นนำหลักฐานที่ผ่านการวิเคราะห์มาประเมินคุณค่า
ด้วยการตีความและสังเคราะห์เพื่อให้เกิดความเข้าใจข้อเท็จจริง ในรูปของแนวคิดรวบยอด
หรือมโนทัศน์ (concept)
ของการเรียนรู้
5.
ขั้นนำเสนอข้อมูล
เป็นการนำความรู้และแนวคิดที่ผ่านการวิเคราะห์และสังเคราะห์แล้ว
มาบรรยายอภิปรายสัมมนา การทำรายงาน และอื่นๆ ต่อผู้อื่น เพื่อให้น่าสนใจ
มีคุณค่า เร้าใจให้ติดตาม อันเป็นขั้นสุดท้ายของกระบวนการเรียนรู้
สรุป รูปแบบการสอน รูปแบบการเรียนการสอน (Teaching Learning Model) หรือระบบการสอน คือ โครงสร้างองค์ประกอบการดำเนินการสอน
ที่ได้รับการจัดเป็นระบบสัมพันธ์สอดคล้องกับทฤษฏี หลักการเรียนรู้
หรือการสอนที่รูปแบบนั้นยึดถือและได้รับการพิสูจน์ ทดสอบว่ามีประสิทธิภาพ
สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายเฉพาะของรูปแบบนั้นๆ โดยทั่วไปแบบแผนการดำเนินการสอนดังกล่าวมักประกอบด้วย
ทฤษฏีหลักการที่รูปแบบนั้นยึดถือและกระบวนการสอนที่มีลักษณะเฉพาะอันจะนำผู้เรียนไปสู่จุดมุ่งหมายเฉพาะรูปแบบนั้นกำหนด
ซึ่งผู้สอนสามารถนำไปใช้เป็นแบบแผนหรือแบบอย่างในการจัดและดำเนินการสอนอื่นๆ
ที่มีจุดมุ่งหมายเฉพาะเช่นเดียวกันได้ รูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ใช้กันแพร่หลายมีจำนวนมาก
แต่ละรูปแบบมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผู้เรียนตามจุด เน้นด้วย ขั้นตอน วิธีการ
องค์ประกอบที่แตกต่างกันไป บางรูปแบบใช้ได้ในวงกว้าง บางรูปแบบจะใช้เจาะจงในวงแคบเฉพาะส่วน
ผู้ใช้ควรศึกษาพิจารณาเลือกใช้ให้เหมาะสมกับมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ซึ่งมีรูปแบบการสอน ดังต่อไปนี้
1.
รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านพุทธพิสัย
2.
รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านทักษะพิสัย
3.
รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านกระบวนการคิด
4. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการบูรณาการ
การจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พ.ศ. 2544 เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญได้แก่การคำนึงถึงการเรียนรู้ของผู้เรียนสำคัญที่สุดทำอย่างไรจะทำให้เรียนทุกคนเกิดการเรียนรู้สูงสุดตามศักยภาพของแต่ละคน
จึงต้องมีการศึกษาวิเคราะห์ผู้เรียน เนื้อหา เวลา สื่อและปัจจัยอื่นๆ เพื่อนำมาใช้วางแผนการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสม
เอื้อต่อการเรียนรู้ของนักเรียนมากที่สุด
จุดหมายของหลักสูตรต้องการพัฒนานักเรียนอย่างสมดุลทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา จิตใจ
ผ่านโครงสร้างกลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระ ซึ่งสอดคล้องกับปัญญา 8
ด้านของมนุษย์ในแต่ละกลุ่มสาระ นักเรียนควรจะได้รับการพัฒนา ความรู้ ทักษะ
จิตพิสัย ทั้งสามด้าน จุดเน้นมากน้อยตามธรรมชาติ วิชาและวัยของเด็ก
กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ต้องการให้นักเรียนเข้าใจพัฒนาการของมนุษย์
มีทักษะในการเคลื่อนไหว ออกกำลังกาย และเห็นคุณค่าต่อการป้องกันโรค
และส่งเสริมสุขภาพ จะเห็นว่านักเรียนต้องได้เรียนรู้ทั้งเนื้อหา ทักษะ และจิตพิสัย
ที่มา : พิจิตรา ธงพานิช.
วิชาการออกแบบและการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน. นครปฐม :
โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร.
ณัฐการณ์ รัตนวิจิตร. วิธีสอนทักษะกระบวนการต่างๆ.
สุโขทัย: https://nuttakarnrut.wordpress.com/2011/10/15/test/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น